Friday, 10 December 2010

The Sweet Dynasty (Hong Kong)

หลังจากที่เว้นว่างหายตัวไปนานหลายเดือนก็ได้มีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารอีกครั้ง แต่การกลับมาเขียนเรื่องอาหารครั้งนี้ก็ยังวนเวียนหนีไม่พ้นเรื่องของหวานอยู่ดี ไม่รู้ทำไมจริงๆ

เมื่อประมาณเดือนตุลาคมได้เดินทางไปเที่ยวโซนฮ่องกง-เมาเก๊า ก็เลยได้ไปลิ้มลองอาหารหลายอย่างที่นั่น โดยที่แรกที่แวะเวียนไปก็ คือ ร้านชื่อ “The Sweet Dynasty” ซึ่งตั้งอยู่ในย่านมงก๊ก อยู่ตรงข้าม Harbour City ขนาดร้านค่อนข้างใหญ่โตกว้างขวาง ตบแต่งแนวจีนโมเดิร์น มีทั้งหมดสองชั้น พอดีแวะมาเวลาแปลกๆ คือ เกือบๆ สี่โมงเย็น เค้าเลยให้ไปนั่งชั้นสอง เพราะชั้นล่างปิดอยู่

เห็นชื่อร้านแบบนี้ ที่จริงเขาขายทั้งอาหาร และของหวาน โดยอาหารที่ขายจะเป็นอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ซึ่งก็รวมถึงพวกติ่มซำด้วย แต่วันนี้เราจะมาลองแต่ของหวานกัน เพราะมีคนที่เมืองไทยแนะนำมาว่า ร้านนี้จะมีของหวานขึ้นชื่ออยู่สามสี่อย่างที่ควรจะต้องลองให้ได้ ก็เลยทำตามคำแนะนำ สั่งมาทั้งหมด 3 อย่างเป็นของหวานหมดเลย คือ Baked Fried Durian Pastry (แป้งอบไส้ทุเรียนทอด) Almond Soup and Lotus Seed (ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว) และ Chilled Tofu Pudding (พุดดิ้งเต้าหู้เย็น) ตัวที่เป็นทุเรียนนี้สั่งมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า มันจะเป็นยังไง ไม่ได้อยู่ในรายการที่เค้าแนะนำมาแต่อย่างใด บริกรคงงงว่า ตานี่มากินที กินแต่ของหวานถึง 3 อย่าง

เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีของก็เริ่มถูกเสิร์ฟ อย่างแรกที่มาถึง คือ พุดดิ้งเต้าหู้เย้น ซึ่งเมื่อพอได้ชิมก็เข้าใจทันทีว่า มันก็คือ เต้าหวยเย็นนั่นเอง แต่เต้าหวยถ้วยนี้ต้องขอบอกว่า ไม่ใช่เต้าหวยธรรมดา เพราะมันให้รสเต้าหู้ที่เข้มข้นมากๆ ถือว่า เต้าหู้ที่ใช้ทำคุณภาพดีจริงๆ เนื้อมันจะนุ่มมาก และละเอียด ไม่เหมือนเต้าหู้หลอดตามโรงงาน สมแล้วที่มีคนแนะนำมาให้ลอง และที่เด่นอีกอย่างคือ มันหวานน้อยมากๆ เน้นแต่รสชาติเต้าหู้เป็นสำคัญ ดังนั้นถ้าคนติดหวานมากินอาจจะบอกว่า จืดๆ ไม่อร่อยก็เป็นได้

จานที่สองที่มาถึงโต๊ะ คือ ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว ซึ่งก็ให้ความประทับใจแบบเต้าหวยเย็นที่เพิ่งหมดไป คือ มันจะให้รสอัลมอนต์ที่เข้มข้นมาก แต่หวานน้อยมาก ตัวซุปจะมาแบบอุ่นๆ เป็นอัลมอนต์ ส่วนเม็ดบัวนั้นเค้าบดผสมมากับซุปให้ได้เคี้ยวเล่นขณะกินซุป เม็ดบัวในจานนี้จึงเป็นเพียงส่วนประกอบเสียมากกว่า ตัวซุปอัลมอนต์ที่เค้าทำนั้นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าน้ำอัลมอนต์ที่เคยกินมา ทั้งที่น้ำซุปก็ไม่ได้มีความข้นอะไรเลย แต่กลับให้รสอัลมอนต์โดดเด่นชัดเจนมาก เหมือนกำลังกินถั่วอัลมอนต์เลย

จานสุดท้าย คือ แป้งอบไส้ทุเรียนทอด ถือว่า เป็นจานที่ผิดหวัง หรืออาจเป็นเพราะ เราคาดหวังคนละแบบกับความตั้งใจของพ่อครัวก็เป็นได้ คือ จานนี้จะเป็นทุเรียนที่เขาเอาแป้งพัฟฟ์มาห่อแล้วเอาไปอบ นอกจากนี้ยังมีวิปครีมข้างใน และไอซิ่งข้างนอกด้วย แต่ตัวแป้งพัฟฟ์ที่ห้อจะบางมาก และแทบไม่มีรสชาติอะไรเลย ส่วนวิปครีมก็เป็นแบบรสอ่อนๆ เวลากินทั้งหมดเลยให้ความรู้สึกเหมือนกินทุเรียนเพียวๆ มากกว่า เลยไม่เห็นความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างการกินทุเรียนเปล่าๆ กับการกินแป้งอบไส้ทุเรียนจานนี้

ค่าอาหารถือว่า ไม่ถูกไม่แพงในมาตรฐานฮ่องกง ตัวพุดดิ้งเต้าหู้เย็นราคา 18 ดอลลาร์ฮ่องกง (70 บาท) ตัวซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัวราคา 22 ดอลลาร์ฮ่องกง (85 บาท) ตัวแป้งอบไส้ทุเรียนทอดจะแพงที่สุด ทั้งที่ผิดหวังที่สุด คือ ราคา 37 ดอลลาร์ฮ่องกง (143 บาท) ที่แพงกว่าเพื่อนก็คงเพราะตัวทุเรียนนั่นแหละ

สรุปว่า ร้านนี้น่าประทับใจสำหรับพุดดิ้งเต้าหู้เย็น กับซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว ถ้ามีใครจะมาฮ่องกงก็จะขอแนะนำให้แวะเวียนมาลองดู ถ้าไม่ใช่คนชอบกินอะไรหวานมากน่าจะถูกใจ ส่วนแป้งอบไส้ทุเรียนทอดอยากแนะนำว่า ให้หลีกเลี่ยงไปกินทุเรียนเปล่าๆ บ้านเราจะดีกว่า.

^
ร้าน The Sweet Dynasty ริมถนน Canton ในย่านมงก๊ก
^
 จานนี้ก็คือ พุดดิ้งเต้าหู้เย็น หรือเต้าฮวยเย็นนั่นเอง
^
ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัวที่แสนเข้มข้น 
^
แป้งอบไส้ทุเรียนทอดที่ไม่ขอบรรยายสรรพคุณ

Friday, 15 October 2010

Le Moulin

เมื่อประมาณไม่เกินสามสี่เดือนที่ผ่านมามีร้านเบเกอรี่มาเปิดใหม่ในห้าง Grand Arcade ของเมืองเคมบริดจ์ ชื่อร้าน Le Moulin ซึ่งก็แปลว่า กังหันลมนั่นเอง ถ้าดูจากชื่อบางคนก็คงเดาได้เลยว่า มันเป็นร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศส หลังจากที่วันก่อนได้ลองเดินโฉบหน้าร้านแล้วเห็นว่า ราคาไม่แพงอย่างที่คิด มาวันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่จะเดินเข้าไปซื้อของจากร้านนี้เสียที

คนขายเป็นหนุ่มชาวอังกฤษที่จะออกไฮเปอร์นิดๆ แบบชอบทำอะไรรีบๆ ลนๆ ทั้งๆ ที่ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรเลย แต่ละวันร้าน Le Moulin จะมีของให้เลือกประมาณเกือบๆ ยี่สิบชนิด มักเป็นพวกขนมปังก้อน ทาร์ต และขนมอบ ส่วนพวกเค้ก กับคุ้กกี้เค้าจะไม่มีขาย สำหรับวันนี้มีซื้อมาลองก็มี Chocolate and Pear Fruit Tart, Danish Pastry, และ Pain aux Raisins

ขนมอย่างแรกเป็นทาร์ตที่ใส่ชอคโกแลตมาเข้มข้นพอควร ชอบในส่วนของเนื้อทาร์ตที่มันยังชื้นอยู่นิดๆ เวลากินไม่แห้งจนฝืดคอ ตัวเนื้อลูกแพร์ที่ให้มาด้านบนเป็นเนื้อลูกแพร์เชื่อม ชิ้นใหญ่ดี เคี้ยวแล้วหวานชุ่มน้ำผลไม้ของมัน ส่วนตัว Danish Pastry กับ Pain aux Raisins ก็อร่อยดี โดยเฉพาะตัว Danish Pastry ที่ถือว่า อร่อยที่สุดในบรรดาขนมทั้งหมดที่ซื้อมาในวันนี้ ลูกพีชที่ใส่ใน Danish Pastry ให้เยอะดี กินแล้วรู้สึกว่า เป็น Danish Pasty และตัวพีชก็ยังชุ่มฉ่ำ เวลากินรวมกับตัวแป้งที่ห่อทำให้รู้สึกสุขใจอย่างมาก ขนมอบทั้งสองลงตัวดี ทั้งในเรื่องเนื้อแป้ง รสชาติ ความหวาน ความมันเนย และความกรอบของผิวนอก อย่างไรก็ดี ตัว Pain aux Raisins ควรจะมีลูกเกดให้มากกว่านี้อีกนิด (ผิดกับ Chelsea Bun ของ Flitzbillies)

สรุปว่า การมาลองร้าน Le Moulin ครั้งนี้เป็นสิ่งไม่เสียดายเลย อร่อยใช้ได้ ราคาก็นับว่า ไม่แพง แม้ร้านนี้แค่พยายามเป็น และยังไม่ใช่ร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศสของแท้ แต่ก็นับว่า พอทำเนาไปได้ คนที่ชอบขนมฝรั่งเศสน่าสามารถจะแวะเวียนมากินแก้ขัดไปก่อนได้สบายๆ


Chocolate and Pear Fruit Tart ราคาชิ้นละ 2 ปอนด์  

Danish Pastry ชิ้นนี้ถูกใจไม่น้อย ราคา 1.30 ปอนด์ ไม่แพงเลย  

Pain aux Raisins ชิ้นละ 1.30 ปอนด์เท่ากัน ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ควรให้ลูกเกดเยอะกว่านี้หน่อย 

Fitzbillies

ในเมืองเคมบริดจ์มีร้านเบเกอรี่อยู่เจ้าหนึ่งที่คนเค้ามักคุยกันว่า เป็นร้านเบเกอรี่ประจำเมืองที่นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทุกคนควรหาโอกาสแวะเวียนมาลิ้มลองกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ร้านดังกล่าวชื่อ Fitzbillies ตั้งอยู่ตรงหัวมุมระหว่างถนน Trumpington กับถนน Pembroke ร้าน Fitzbillies นี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ปัจจุบันตัวร้านจะแยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหาร อีกส่วนหนึ่งเป็นร้านเบเกอรี่ แต่ในวันนี้เราจะมาดูเฉพาะในส่วนของร้านเบเกอรี่กัน

ในแต่ละวันร้าน Fitzbillies จะมีขนมเป็นสิบๆ แบบให้ได้เลือกกันตาลาย ตั้งแต่เค้กแต่งงาน ไปจนถึงคุ้กกี้ชิ้นเล็กๆ น่ารักๆ แต่ในบรรดาขนมของเขาทั้งหมด ขนมที่ชื่อ Chelsea Bun จะมีเป็นขนมที่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายที่สุด ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความพยายามของทางร้านในการโฆษณาขนมตัวนี้ ถึงขนาดตั้งชื่อให้มันอย่างเป็นทางการว่า ‘Fitzbillies’ Famous Chelsea Bun’ นอกจากนี้อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นเพราะมีคนนิยมกินขนมชนิดนี้อยู่จำนวนไม่น้อย เพราะทางร้านเองก็มีชุดแพคเกจรายปี คือ ผู้ที่สนใจสามารถจ่ายเงินจำนวน 95 ปอนด์ แล้วทางร้านจะส่ง Chelsea Bun ให้คุณทางไปรษณีย์เดือนละ 4 ชิ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่า Chelsea Bun จะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างมากมาย แต่รสชาติที่แท้จริงของมันก็ยังห่างชั้นจากคำยกย่องสรรเสริญเหล่านั้นอยู่หลายสิบเท่า กล่าวสั้นๆ คือ ชื่อเสียงไม่สมกับรสชาติที่เป็นจริง จนมันน่าฉงนไม่น้อยที่ทำไมยังมีคนนิยมกิน Chelsea Bun อยู่พอสมควร เพราะเอาจริงมันก็เป็นเพียง Cinnamon Roll ที่หวานเจี๊ยบแบบถล่มทลาย จนคนทั่วไปกินเพียงคำสองคำก็เลี่ยนจนกินต่อไม่ไหวแล้ว แถมเสี่ยงกับเบาหวานอีกต่างหาก นอกจากนี้เนื้อแป้ง และวัตถุดิบก็ถือว่า ธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด ถ้าจะหาข้อดีก็น่าจะอยู่ตรงที่เค้าให้ลูกเกดอย่างอัดแน่นไม่น้อย ซึ่งก็คงถูกใจเป็นพิเศษเฉพาะกับคนที่รักลูกเกด

นอกเหนือจาก Chelsea Bun แล้วขนมชนิดอื่นๆ ของร้านก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจ บางอย่างก็มีรสชาติไม่ต่างจากขนมถูกๆ ที่หาซื้อได้ตามห้างเทสโก้ ล่าสุดลองให้โอกาสร้าน Fitzbillies ด้วยการไปซื้อเค้กถึง 3 แบบมาลอง แต่ปรากฎว่า นอกจาก Walnut Cake แล้วไม่มีอะไรได้เรื่องเลย ส่วนใหญ่จะออกหวานแบบเกินเหตุ ซึ่ง Walnut Cake เอง แม้จะดีกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ได้อร่อยเลิศอะไร แถมเค้าใส่เนยเยอะไป จนเค้กมันเกิน ดังนั้นจึงขอสรุปเลยว่า ร้าน Fitzbillies เป็นร้านเบเกอรี่ที่แสนธรรมดา และการถือว่า ร้านนี้เป็นร้านเบเกอรี่ประจำเคมบริดจ์ก็ดูจะเป็นการดูถูกเมือง และชาวเคมบริดจ์อยู่ไม่น้อย


หน้าร้าน Fitzbillies ข้างขวาที่เป็นตึกสีขาวจะเป็นส่วนร้านอาหาร 

Chelsea Bun ที่น่าผิดหวัง 

ชื่อเต็มเรียก 'Fitzbillies' Famous Chelsea Bun' ราคาชิ้นละ 1.50 ปอนด์ 

ซื้อมาลองทั้งหมด 3 ชิ้น ผิดหวังอย่างแรง แต่ละชิ้นตกประมาณ 2 ปอนด์ 

Walnut Cake สิ่งเดียวที่ยังพอจะกินได้บ้าง 

Wednesday, 22 September 2010

Deliciously Nutty Crunch (Marks & Spencer)

สำหรัับคนที่นี่แล้ว ซีเรียลถือเป็นอะไรที่มีความสำคัญกับชีวิตมาก เดินไปเปิดตู้อาหารกว่าสิบตู้ของเพื่อนร่วมบ้านจะพบว่า ทุกตู้ต้องมีซีเรียลอย่างน้อยหนึ่งกล่อง จริงๆ แล้ว คำว่า 'ซีเรียล' นั้นเป็นคำที่ครอบคลุมอาหารหลากหลายรูปแบบมาก มีตั้งแต่แบบ Corn Flakes แบบ Granola แบบ Porridges ไปจนถึงแบบ Muesli ดังนั้นคำว่า 'ซีเรียล' จึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ Corn Flakes ตามที่บ้านเรามักนิยมเข้าใจกัน

คนส่วนใหญ่ที่นี่มักเริ่มต้นชีวิตแต่ละเช้าด้วยการเอาซีเรียลเข้าปาก ความสำคัญของซีเรียลส่งผลให้เซคชั่นซีเรียลตามห้างที่นี่เป็นเซคชั่นที่ใหญ่มโหฬาร ผลิตภัณฑ์ซีเรียลมีให้เลือกกินหลากหลายรูปแบบมาก ประมาณว่า ถ้าให้กินสัปดาห์ละแบบ น่าจะต้องใช้เวลามากกว่าสองปีถึงจะลองหมด เพราะแค่ห้าง Tesco ที่เดียวก็มีซีเรียลให้เลือกกว่า 80 แบบแล้ว (ยังไม่นับรวมพวกที่เป็น Cereal Bars) มีตั้งแต่แบบที่หลอกขายเด็กอย่าง Coco Pops แบบขายคนที่ห่วงใยสุขภาพอย่าง Kelloggs Special ไปจนถึงแบบขายคนไฮโซอย่าง Muesli จากสวิสเซอร์แลนด์ บางยี่ห้อก็ทำออกมาแบบรสชาติเหมือนกัน แต่ใช้วัตถุดิบต่างกัน เช่น เป็น Corn Flakes เหมือนกัน แต่แบบนึงใช้ธัญพืชปกติ ส่วนอีกแบบใช้ธัญพืช Whole Wheat

ช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสลองซีเรียลมาหลายยี่ห้อเหมือนกัน จนกระทั่งมาเจอซีเรียลแบบนึงที่ทำให้เลิกไปขวนขวายหาซีเรียลแบบอื่นมาทาน นั่นคือ Deliciously Nutty Crunch ของ Marks & Spencer ซึ่งกล้าพูดเลยว่า โดยส่วนตัวแล้วยกให้เป็นซีเรียลที่อร่อยที่สุุดเท่าที่ได้เคยกินมาในชีวิต

ซีเรียลตัวนี้ผลิต และจำหน่ายโดย Marks & Spencer แต่เพียงเจ้าเดียว มันเป็นพวกก้อนโอ๊ต ผสมกับถั่วสามแบบคือ อัลมอนต์ ถั่วบราซิล และพีแคน จริงๆ Marks & Spencer ก็ทำซีเรียลแนวนี้ออกมาหลายแบบ เช่น แบบ Triple Chocolate Crunch ที่เอาก้อนโอ๊ตไปผสมกับชอคโกแลตขาว ชอคโกแลตนม และชอคโกแลตดำ หรือแบบ Strawberry & Almond Crunch ที่เอาก้อนโอ๊ตไปผสมกับสตอเบอร์รี่ และอัลมอนต์ แต่หลังจากได้ลองมาทั้งหมด สรุปว่า แบบ Deliciously Nutty Crunch อร่อยที่สุด เพราะมันกรอบมัน รสชาติดีมาก ไม่หวานไป ทุกอย่างลงตัว อย่างไรก็ดี ถ้าใครชอบหวานมากๆ แนะนำให้ลองแบบ Triple Chocolate Crunch ส่วนใครชอบเปรี้ยวนิดๆ และผสมหวานก็น่าจะเอาแบบ Strawberry & Almond Crunch มากิน

Deliciously Nutty Crunch ตัวนี้จะออกเป็นรสทอฟฟี่ แต่ไม่หวานเกินพอดี โดยเฉพาะเวลาผสมนม แนะนำว่า ถ้าจะกินให้อร่อยควรเอานมมาใส่แล้วทิ้งไว้สักนาทีหน่อยๆ ดื่มนมให้หมดก่อนแล้วค่อยกินตัวซีเรียล มันจะอร่อยมาก เพราะตัวซีเรียลจะอมนมนิดนึง กินแล้วลื่นคอ มันนม และที่สำคัญคือ มันจะยังกรอบอยู่ พอเขียนถึงตรงนี้ก็อยากไปหยิบจากตู้อาหารมากิน แม้ว่าตอนนี้จะเกือบ 5 ทุ่มแล้วก็ตาม


Deliciously Nutty Crunch กล่องนึงมี 500 กรัม ราคา £2.19

 ที่ดูคล้ายๆ ก้อนกรวดสีขาวก็คือ ก้อนโอ๊ค ผสมกันไปกับถั่วสามชนิด

 เทนมใส่รอไว้นาทีกว่า ก่อนกินตามสูตรที่เขียนไว้ สุดอร่อยจริงๆ

Tuesday, 21 September 2010

White Lotus Seed Paste Cake (Fung Kee Chong)

ตั้งแต่อยู่อังกฤษมายังไม่เคยลองขนมไหว้พระจันทร์ที่วางขายที่นี่เลย ส่วนนึงเพราะมัวแต่ไปลองอาหารตะวันตก ซึ่งหาซื้อได้สะดวก และค่อนข้างถูกกว่า นอกจากนี้ที่สำคัญคือ มันจะรู้สึกแปลกๆ เวลาต้องมาชิมขนมไหว้พระจันทร์ที่นี่ เพราะมันเหมือนไปชิมพายแอปเปิ้ลที่เมืองไทยประมาณนั้น กล่าวอีกแบบคือ ขนมไหว้พระจันทร์มันไม่ใช่อะไรที่น่าจะต้องลองเวลาอยู่อังกฤษ

แต่พอดีมีเพื่อนคนจีนเอาขนมไหว้พระจันทร์มาฝาก เนื่องในโอกาสที่เรากำลังจะกลับเมืองไทยในอีกไม่กี่วัน เค้าบอกว่า อุตส่าห์เดินตั้งครึ่งชั่วโมงไปซื้อที่ตลาดเอเชีย พร้อมยืนยันว่า ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อ Fung Kee Chong นี้ค่อนข้างตรงตามสูตรดั้งเดิม และมีรสชาติใกล้เคียงกับขนมไหว้พระจันทร์ที่เมืองจีน

หลังได้ขนมไหว้พระจันทร์มาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถห้ามใจได้ ต้องแกะกินเลย ไส้ที่ได้เป็นไส้เม็ดบัว ซึ่งภาษาอังกฤษก็คือ 'White Lotus Seed' ส่วนคำว่า ขนมไหว้พระจันทร์นั้น นอกจากจะใช้คำว่า 'Moon Cake' ยังสามารถใช้คำว่า 'Paste Cake' ได้ด้วย รูปลักษณ์ภายนอกของขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้ดูมันวาวดี ตัดผ่านครึ่งมาดู สีอะไรก็เหมือนขนมไหว้พระจันทร์ที่เมืองไทยบ้านเราทุกอย่าง สำหรับรสชาติตอนกินก็อร่อยดี และไม่มีอะไรพิเศษ หรือโดดเด่นไปจากขนมไหว้พระจันทร์ทั่วไปที่เมืองไทย สรุปคือ ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อ Fung Kee Chong ก็อร่อยดี กินเล่นได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีคำติชมอะไรเป็นพิเศษ

ที่น่าสนใจที่สุดคือ ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อนี้ผลิตในประเทศเนเธอร์แลนด์!


 กล่องขนมไหว้พระจันทร์เป็นแบบง่าย
ข้างกล่องมีคำอธิบายสี่ภาษา อังกฤษ จีน ดัตช์ และเยอรมัน

 ผิวด้านนอกมันวาวดี ดูสวยตอนตั้งโชว์

ไส้ลูกบัวอัดแน่น พร้อมไข่เค็มหนึ่งลูก

Monday, 20 September 2010

Vanilla Belgium Waffle Sandwich (Marks & Spencer)

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Marks & Spencer ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาวางแผง คือ Belgium Waffle Sandwich เป็น Waffle แบบกรอบ 2 แผ่นมาประกบแล้วสอดไส้ตรงกลาง โดยจะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือแบบไส้ครีมวนิลา กับแบบไส้ชอคโกแลต แต่ที่เอามาลองกันวันนี้คือ แบบไส้ครีมวนิลา

อันที่จริงชื่อ Belgium Waffle ถ้าจะใช้โดยยึดเอาความหมายดั้งเดิมอย่างรัดกุม มันจะหมายถึง Waffle แบบที่เป็นแป้งหนาๆ นุ่มๆ มีเกร็ดน้ำตาลเกาะผิวรอบนอก เวลากินควรจะกินตอนที่มันยังอุ่นๆ อยู่ โดนเอาน้ำเชื่อมมาราด ดังนั้นชื่อ Belgium Waffle จึงไม่ได้หมายถึง Waffle แบบที่เป็นแผ่นแป้งบางๆ กรอบๆ อย่างไรก็ดี คนทั่วไปก็ไม่ได้เคร่งครัดกับเรื่องชื่อมากนัก จนคำว่า Belgium Waffle มักถูกเอามาใช้เหมารวมเรียก Waffle แบบกรอบด้วย

สำหรับ Vanilla Belgium Waffle Sandwich จะมีลักษณะคล้าย Stroopwafel ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากเนเธอร์แลนด์ มากกว่า Belgium Waffle เพราะมันเป็น Waffle แบบบางๆ กรอบๆ แต่มันก็ไม่ใช่ Stroopwafel ซะทีเดียว เพราะมันสอดไส้ครีมวนิลา ซึ่งถ้าเป็น Stroopwafel ของแท้ไส้ตรงกลางต้องเป็นน้ำเชื่อมคาราเมลเท่านั้น อย่างไรก็ดี หลักใหญ่ที่เราควรจะให้ความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้องของการใช้ชื่อ แต่อยู่ที่รสชาติต่างหาก ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะมาเข้าเรื่องกันเสียที

หลังได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วต้องบอกเลยว่า นับตั้งแต่ได้กิน Waffle แบบกรอบมาจำนวนมากมายในชีวิต Vanilla Belgium Waffle Sandwich ตัวนี้ถือเป็น Waffle แบบกรอบที่อร่อยที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจาก Stroopwafel ยี่ห้อ Gouda's Gilde ที่เคยมีเพื่อนซื้อมาฝากจากเนเธอร์แลนด์ แม้ว่ามันจะน่าเสียดายอย่างยื่งที่เค้าใส่ไส้ครีมวนิลามาแบบขี้เหนียวไปหน่อย แต่ตัว Waffle นั้นอร่อยมากๆ มันออกรสเนยเข้มข้น กลิ่นก็หอมเนย ตัวเนื้อก็กรอบ และอัดแน่นดี ส่วนตัวครีมวนิลาก็อร่อยจริงๆ แต่มีปัญหาอย่างที่บอกคือ ใส่มาให้น้อยไปหน่อย

พอพลิกกล่องดูพบว่า Vanilla Belgium Waffle Sandwich ตัวนี้ผลิต และนำเข้าจากเบลเยี่ยม เลยไม่สงสัยเลยว่า ทำไมมันถึงอร่อยได้ขนาดนี้ กล่องนึงราคา £1.49 มีทั้งหมด 6 ชิ้น เมื่อเทียบกับรสชาติแล้วคุ้มค่ามาก ทำให้ตอนนี้อยากไปเอาแบบไส้ชอคโกแลตมาลองด้วยมากมาย


 Vanilla Belgium Waffle Sandwich สุดอร่อยจาก Marks & Spencer

ตัว Waffle สีเหลืองสวยมาก กลิ่นก็หอมเนยอย่างยิ่ง แบบนี้ใครจะห้ามใจได้

Saturday, 18 September 2010

Luxury Assorted Pralines (Harrods)

วันนี้ต้องขอยกระดับขึ้นไปแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับ Treacle Tart จาก Sainsbury's เพราะอาหารที่จะมาลองกันในวันนี้เป็นผลิตภัณฑ์จากห้าง Harrods ห้างชั้นนำอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก สำหรับคนทั่วไปห้าง Harrods มักถูกมองว่า เป็นแหล่งรวมสินค้าเกรดที่ดีที่สุด ถ้ามาตรฐานสููงไม่ถึงขั้น ห้้าง Harrods จะไม่ยอมให้มาวางขายเป็นอันขาด นอกจากนี้บางทีถ้ามีผลิตภัณฑ์ตัวไหนคุณภาพดีมาก ห้าง Harrods ก็เคยมีถึงกับไปซื้อ หรือทำสัญญากับบริษัทผู้ผลิตให้ส่งขายห้าง Harrods แต่เพียงเจ้าเดียว สำหรับอาหารที่จะลองกันในวันนี้เป็น Luxury Assorted Pralines ซึ่งเป็นขนมหวานตระกูลชอคโกแลต

พาร์ไลน์นั้นเป็นส่วนผสมขนมหวานยอดนิยม มันทำจากการเอาน้ำเชื่อมไปเคี่ยวกับถั่วจนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน ถั่วที่เค้านิยมใช้มักเป็นฮาร์เซลนัท หรือไม่ก็อัลมอนต์ โดยทั่วไปพาร์ไลน์จะเอาถูกเอามาใช้สอดไส้ชอคโกแลตแท่ง หรือไม่ก็เอามาเคลือบหน้าขนมเค้ก สำหรับพาร์ไลน์ในประเทศไทยนั้นหากินได้ไม่ยากเลย คนที่อยากรู้จักกับพาร์ไลน์ แนะนำว่า น่าจะลองเริ่มต้นจากชอคโกแลตดังยี่ห้อ Guylian ที่ทำเป็นรูปทรงสัตว์น้ำ เช่น หอยสังข์ ม้าน้ำ ปลาดาว ฯลฯ ชอคโกแลตตัวนี้มีพาร์ไลน์ผสมไปกับชอคโกแลตค่อนข้างเข้มข้น และสามารถหาซื้อไปตามห้างชั้นนำทั่วไปในกรุงเทพฯ

ในภาพที่เห็นเป็นชอคโกแลตสอดไส้พาร์ไลน์ 3 แบบ แบบชอคโกแลตนม ชอคโกแลตขาว และชอคโกแลตดำ โดยตัวชอคโกแลตนมจะมีเหล้าผสมด้วยค่อนข้างแรงเหมือนกัน กล่องนึงจะมี 10 ชิ้น ราคา £7.95 ซึ่งต้องถือว่า แพงพอดูเมื่อเทียบกับร้านชอคโกแลตเกรดดีร้านอื่นๆ

หลังชิมแล้วต้องยอมรับว่า คุณภาพเค้าจริงๆ พาร์ไลน์ละเอียดมาก เนื้อเนียน และรสชาติเข้มจัด ตัวชอคโกแลตก็อร่อยดี แต่น่าเสียดายที่แบบชอคโกแลตนมเค้าผสมเหล้า เพราะโดยส่วนตัวชอบกินชอคโกแลตแบบไม่ผสมเหล้า แต่ถ้าคนอื่นมากินอาจจะชอบก็ได้ เพราะเค้าผสมได้สมดุล คือ เหล้า กับตัวพาร์ไลน์มันพอดีกัน อย่างไรก็ดี ต้องเตือนหน่อยว่า ถึงมันจะอร่อยมาก แต่ก็ไม่ได้อร่อยแบบวิเศษวิโสกว่าชอคโกแลตเกรดดีจากร้านอื่นๆ เช่น Hotel Chocolat คือ มันอร่อยพอๆ กัน แต่ที่สำคัญคือ พาร์ไลน์ของห้าง Harrods มันแพงกว่าชาวบ้านชาวช่องเขามาก ผลิตภัณฑ์จึงไม่สมกับราคา ดังนั้นสรุปว่า ถ้าดูแต่ตัวผลิตภัณฑ์ก็ต้องยอมรับในคุณภาพ และรสชาติ แต่ถ้าดูราคาประกอบด้วยก็ต้องขอบายไปก่อน


Luxury Assorted Pralines บรรจุภัณฑ์เรียบง่ายแต่ดูดี กล่องสีทอง 

หลังแกะกล่ิอง ต้องขอซูมใกล้ๆ หน่อย 

แบบชอคโกแลตนม ไส้ในมีเหล้าผสมหน่อย 

แบบชอคโกแลตขาว 

แบบสุดท้าย แบบชอคโกแลตดำ

Friday, 17 September 2010

Treacle Tart (Sainsbury's)

จริงๆ แล้วไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของขนมชนิดนี้มาก่อนจนกระทั่งเดินไปเจอในห้าง Sainsbury's โดยบังเอิญ ลักษณะของมันดูสวยงามดี สีเหลืองอมทอง น่าทาน เลยจำชื่อแล้วกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติม ปรากฎว่า Treacle Tart เป็นขนมประจำชาติอย่างนึงของอังกฤษ ทำจากน้ำเชื่อมประเภท Treacle ซึ่งไม่ทราบว่า ภาษาไทยแปลว่าอะไร แล้วก็มีพวกมะนาว น้ำตาล และเนยผสมเพิ่มเติม นอกจากนี้ใน Wikipedia ยังบอกว่า Treacle Tart เป็นอาหารจานโปรดของ Harry Potter ด้วย

หลังจากได้ข้อมูลมาไม่กี่วันก็แวะไปซื้อมาลองชิม ตอนซื้อหยิบจากตู้เย็น แต่ตอนกินเค้าให้เอาไปอบก่อน แต่ด้วยความอยากรู้อยากลองเลยแบ่งครึ่ง ครึ่งนึงกินแบบเย็น เอาออกจากตู้เย็นแล้วกินเลย ส่วนอีกครึ่งกินแบบร้อน เอาไปอบก่อนตามคำแนะนำข้างกล่อง ปรากฎว่า กินแบบเอาไปอบอร่อยกว่าจริงๆ

คือ ไม่ทราบว่า จะอธิบายรสชาติยังไง เพราะเข้าใจว่า รสชาติที่ได้้สัมผัสมันก็คือรสชาติของเจ้าน้ำเชื่อมที่ชื่อ Treacle เป็นหลัก จะออกหวานๆ ในแบบของมันซึ่งอธิบายไม่ถูก นอกจากนี้ก็จะมีรสมะนาวผสมมาด้วย ทำให้กลายเป็้นรสหวานๆ เปรี้ยวๆ อร่อยดี ที่น่าสนใจคือ เนื้อขนมมันจับตัวกันน่าดู สามารถตัดโช๊ะได้เลย รอยตัดออกมาตรงเผง ไม่มีแตก หรือยุบ ลักษณะในรูปเลยดูเหลี่ยมๆ แหลมๆ

จริงๆ ที่ลองก็ไม่ได้กะจะดูว่า Sainsbury's ทำออกมาดีไม่ดี เพราะไม่เคยรู้จักขนมประเภทนี้มาก่อนเลยไม่มีมาตรฐานมาให้ใช้ประเมิน ประเด็นจึงอยู่ที่การทำความรู้จักกับ Treacle Tart มากกว่า ซึ่งก็บอกได้ว่า เป็นขนมอังกฤษที่อร่อย และถูกปากอีกอย่างหนึ่ง


 Treacle T
art ก่อนอบ ตรงกลางจะเป็นไส้น้ำเชื่อม กับมะนาว ด้านล่างเป็นตัว Tart
ถาดนึงใหญ่พอดู แบ่งได้ 4 คน ราคาถาดละ £2.50

หลังอบเสร็จ (ดูไม่แตกต่างจากตอนก่อนอบมากนัก)
สังเกตว่า รอยตัดมันจะตรงเผงมาก เป็นมุมเหลี่ยมคมๆ

Wednesday, 15 September 2010

Purple Berry Flapjack (The Fabulous Bakin' Boys)

Flapjack เป็นขนมหวานกินเล่นที่หาได้ทั่วไปในประเทศอังกฤษ จะว่าไปแล้วมันถือเป็นขนมประจำชาติอย่างหนึ่งของอังกฤษก็ว่าได้ Flapjack จะมีลักษณะเป็นแท่งๆ เหมือนชอคโกแลตบาร์ ไปไหนมาไหนสามารถถือกินได้สะดวกสบาย และไม่เละเทะมากนัก Flapjack มีข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสมหลัก วิธีการทำคร่าวๆ เริ่มจากการเอาข้าวโอ๊ตมาผสมกับเนย น้ำเชื่อม และน้ำตาล แล้วเอาไปอบจนมันเกาะตัว หลังจากนั้นก็ค่อยเอามาตัดเป็นแท่งๆ ถ้าใส่เนย น้ำเชื่อม และน้ำตาลไม่มาก Flapjack ก็สามารถเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ด้วยข้าวโอ๊ตนั่นแหละ

Flapjack สูตรดั้งเดิมก็จะใช้ส่วนผสมแค่ตามข้างต้น แต่ที่ผ่านมาคนมักนิยมเอา Flapjack มาประยุกต์ แบบแรกก็ประยุกต์ด้วยการเอาส่วนผสมอื่นเข้ามาเพิ่มเติม เช่น ชอคโกแลตชิป แยม ลูกเกด หรือแม้แต่ M&M's แบบที่สองคือเอา Flapjack ไปเคลือบ หรือราดหน้าด้วยสิ่งเย้ายวนหลายชนิด มีตั้งแต่ชอคโกแลต โยเกิร์ต น้ำผึ้ง ไปจนถึงคาราเมล สำหรับ Flapjack ที่เอามาลองรสวันนี้ไม่ได้เป็น Flapjack สูตรดั้งเดิม แต่เป็นสูตรประยุกต์ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้เดือนกว่า โดยจะเป็น Flapjack ที่ผสมเบอร์รี่ม่วง

ยี่ห้อที่ลอง คือ ยี่ห้อ The Fabulous Bakin' Boys ปรากฎว่า Flapjack ของเค้าหวานไป และเนื้อไม่แน่เลย สังเกตได้คือ เอา Flapjack ของเค้ามาแกว่งๆ เขย่าๆ แล้วมันจะหัก ซึ่งถ้าเป็น Flapjack คุณภาพดีเนื้อมันจะอัดแน่มาก แกว่งยังไงก็ไม่หัก อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า นี่เป็น Flapjack ที่ผลิตจากโรงงานเป็นจำนวนมากแล้วส่งขายทั่วประเทศ ไม่ใช่ Flapjack จากเบเกอรี่ที่ทำสดๆ รายวัน และราคาก็แค่ £1.30 ต่อกล่อง กล่องนึงมี 9 แท่ง (ปกติจะเป็น 6 แท่ง แต่นี่เป็นช่วงเปิดตัวเค้าเลยแถมให้อีก 3 แท่ง) ดังนั้นถ้าจะเน้นสะดวกสบาย หาง่าย ราคาถูก และเอาเป็นของกินเล่นยามว่างแก้หิว ก็ถือได้ว่า ไม่เสียหายถ้าจะซื้อ Flapjack ยี่ห้อนี้มา แต่ถ้าอยากจะกิน Flapjack แบบมีคุณภาพก็แน่นอนว่า ต้องแนะนำให้เลี่ยงยี่ห้อนี้


Purple Berry Flapjack จาก The Fabulous Bakin' Boys

Flapjack ของเค้าขนาดค่อนข้างเล็ก สองคำกินหมด
แต่เห็นเล็กๆ แบบนี้ ชิ้นนึงมีตั้ง 138 kcal

Monday, 13 September 2010

Ben's Cookies

มาเยือน Oxford ทั้งทีนอกจากจะต้องไปกินไอศครีมที่ร้าน G&D's แล้ว ถ้าไม่แวะไปซื้อคุ้กกี้จากร้าน Ben's Cookies สักหน่อยก็คงพูดไม่ได้เต็มปากว่า เป็นการมาเยือน Oxford ที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่รักขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ เพราะร้าน Ben's Cookies นับเป็นร้านคุ้กกี้ของเกาะอังกฤษที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปนอกเกาะ ทั้งที่มีสาขาอยู่ใน และนอกประเทศอังกฤษเพียงแค่ 16 สาขาเท่านั้นเอง แต่สำหรับสาขาที่ Oxford นั้นจะพิเศษกว่าที่อื่น เพราะมันเป็นสาขาแรก เป็นจุดกำเนิดของตำนาน Ben's Cookies

ร้าน Ben's Cookies ที่ Oxford ตั้งอยู่ใน Covered Market ลักษณะของร้านเป็นซุ้มไม้สีแดงเล็กๆ ขนาดประมาณสามคนเข้าไปยืนก็แน่นแล้ว ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ร้าน กลิ่นคุ้กกี้ก็ลอยมาให้ได้ชื่นชมกัน จนทำเอาน้ำลายไหลเลยทีเดียว ตอนไปยืนซื้อปรากฎว่า คนขายสองคนในร้านมีอยู่คนนึงเป็นคนไทย แบบนี้ไว้ถ้ามีโอกาสจะแอบมาถามสูตรคุ้กกี้จากเค้า

สำหรับวันนี้สั่งมาทั้งหมดสี่แบบ คือ Milk Chocolate Chip, Chocolate Chip and Orange, Peanut Butter, และ Triple Chocolate Chip ที่น่าสนใจคือ เค้าจะขายตามน้ำหนัก ไม่ได้ขายตามชิ้น สั่งเสร็จแล้วเค้าต้องเอามาชั่งน้ำหนักก่อน เพื่อคิดเงิน ราคานั้นจะอยู่ที่ £14 ต่อกิโลกรัม โดยเฉลี่ยแล้วคุ้กกี้แต่ละชิ้นจะตกประมาณ £1.30

แม้ว่าจะแวะมาซื้อตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แต่กว่าจะได้กินก็เกือบ 5 ทุ่ม เพราะหอบเอามากินที่ Cambridge เนื่องจากตอนนั้นยังอิ่มจากไอศครีม G&D's อยู่ อย่่างไรก็ดี ถึงจะทิ้งช่วงหมักไว้หลายชั่วโมง ตอนหยิบคุ้กกี้มานั่งกินในห้อง เนื้อคุกกี้ยังนุ่ม และกลิ่นก็ยังหอมตลบอบอวลอยู่ ทันทีที่เอาเข้าปากก็รู้สึกได้ถึงความหมายของคำว่า "อร่อย" เนื้อคุ้กกี้แค่จับภายนอกก็ว่านุ่มแล้ว ได้สัมผัสเนื้อข้างในยิ่งว่านุ่มกว่า รสชาติของคุกกี้แต่ละชิ้นก็เข้มข้นมากกกกกก เนยเป็นเนย แป้งเป็นแป้ง ไส้เป็นไส้ เค้าใส่ส่วนผสมมาอย่างเต็มที่จริงๆ ไม่เกรงใจใคร น่าเสียดายที่ไม่ได้รีบกินตั้งแต่ตอนที่มันอุ่นๆ เพิ่งออกจากเตา ไม่อย่างงั้นคงได้สำเร็จความใคร่ทางการบริโภคหลายรอบ แต่เห็นอร่อยๆ แบบนี้ก็ต้องระวังให้ดีเวลากิน เพราะด้วยความเ้ข้มข้นของมันก็ทำให้คุ้กกี้แต่ละชิ้นปาเข้าไป 400 กว่า kcal


สัญลักษณ์ของร้าน Ben's Cookies วาดโดยศิลปินอังกฤษชื่อดัง Quentin Blake

ที่สาขานี้มีขายทั้งหมด 12 รส 

คุกกี้รส Milk Chocolate Chip กองพะเนิน กลิ่นหอมเย้ายวนมากมาย 

คุกกี้รส Chocolate Chip and Orange จุดตรงกลางเป็นส้มเชื่อม

คุกกี้รส Peanut Butter ที่อัดแน่นไปด้วยถั่วลิสง

Sunday, 12 September 2010

Super Chocolate and Dime Bar (G&D's Ice Cream)

ถ้าจะลองเปิดเวบ Google ขึ้นมา พิมพ์คำว่า 'Ice cream' กับ 'Oxford' แล้วคลิกค้นหา ผลลัพธ์ที่ได้อันดับแรกๆ รับประกันได้ว่า จะต้องเป็น G&D's Ice Cream เพราะร้านไอศครีมร้านนี้เป็นร้านไอศครีมในตำนานที่เด็ก Oxford รุ่นใหม่ทุกคนต้องได้เคยลองลิ้มชิมรสกัน

อันที่จริงร้าน G&D's ก็ไม่ได้เก่าแก่อะไรมากมาย เพราะเพิ่งเปิดเมื่อปี 1992 ดังนั้นเมื่อเทียบกับอายุ 900 กว่าปีของมหาวิทยาลัย Oxford ก็ต้องถือว่า ร้าน G&D's เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของเศษเสี้ยวของเศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยคุณภาพ และเอกลักษณ์ก็ทำให้ร้าน G&D's สามารถสั่งสมชื่อเสียงได้อย่างรวดเร็ว จนคว้าตำแหน่งร้านไอศครีมประจำมหาวิทยาลัย Oxford ไปในที่สุด

ประวัติของร้าน G&D's นั้นสามารถหาอ่านได้จากเวบของร้าน (G&D's: About Us) คร่าวๆ คือ ร้านนี้ตั้งโดยนักศึึกษา Oxford นั่นแหละ เพราะเมื่อก่อน Oxford ไม่มีร้านไอศครีมคุณภาพดีอยู่ในเมืองเลย จะมีก็แต่พวกร้านไอศครีมสำเร็จรูปที่ไปรับจากโรงงานมาขายอีกทีนึง กลุ่มนักศึกษาที่อดอยากปากแห้งกลุ่มนี้ก็เลยร่วมแรงกันเปิดร้าน G&D's ขึ้นมาในปี 1992 แล้วก็ค่อยๆ ขยายกิจการจนปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมดในเมือง 3 สาขา และสามารถผูกขาดตลาดไอศครีม Home-made ในเมือง Oxford ได้ในที่สุด

แม้ว่าชื่อร้านจะเรียกกันว่า G&D's แต่เอาเข้าจริงร้าน G&D's แต่ละสาขาเค้าใช้ชื่อไม่เหมือนกัน คือ สาขาแรกชื่อ George and Davis สาขาที่สองชื่อ George and Danver และสาขาที่สามซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อปี 2007 ชื่อ George and Delila

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (9 กันยายน) ได้ไปเยือน Oxford เป็นครั้งแรกเลยต้องถือโอกาสแวะเวียนไปที่ร้าน G&D's ซะหน่อย เพื่อพิสูจน์ด้วยลิ้นตัวเองว่า รสนิยมการกินของเด็ก Oxford มันมีดีแค่ไหนกันเชียว

จริงๆ ร้าน G&D's ออกจะเป็นแนวคอฟฟี่ชอปมากกว่าร้านไอศครีม เพราะนอกจากไอศครีมแล้ว เขาก็มีชากาแฟ มีขนมอบ มีแซนด์วิช และพวกสลัดขายด้วย แต่เนื่องด้วยชื่อเสียงอันเกรียงไกรของไอศครีมก็เลยทำให้คนทั่วไปนึกถึงแต่ไอศครีมเวลาพูดถึงร้าน G&D's

สำหรับสาขาที่แวะมาคือ George and Danver บรรยากาศร้านออกแนวสบายๆ สดใสๆ คนขายออกแนวฮิปปี้มากมาย ในตู้โชว์วันนี้มีไอศครีมอยู่ประมาณสิบกว่ารส เลือกรส Dime Bar Crunch กับรส Super Chocolate เพราะถูกจัดอันดับเป็นสองรสที่ขายดีที่สุด นอกจากนี้ก็มีรสที่น่าสนใจคือ รส Oxford Blue แต่มีคนแอบมากระชิบว่า รสนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าไอศครีมผสมบลูเบอร์รี่แล้วตั้งชื่อให้โก้เก๋

ไอศครีมลูกเดียวราคา £2.05 สองลูกราคา £3.05 เอามานั่งกินที่โต๊ะ ลองทีละรส รู้สึกว่า เนื้อไอศครีมเค้าทำละเอียดมาก เนื้อเนียนมากมาย ความละเอียดน่าชื่มชมทั้งสองลูก ครีมที่ใช้ทำไอศครีมก็เข้มข้น เข้าปากแล้วสัมผัสได้ในทันที รส Super Chocolate ทำได้ดีมาก รสชอคโกแลตออกชัดเจนสมชื่อ แต่รส Dime Bar Crunch มีปัญหาหน่อยคือรู้สึกว่าเค้าใส่ตัว Dime Bar น้อยไปจนรสครีมมันเด่นกว่ารส Dime Bar ซึ่งเป็นขนมชอคโกแลตบาร์ยอดนิยมที่ไส้ในทำจากเนย และอัลมอนด์ กินแล้วจะกรุบๆ กรอบๆ อย่างไรก็ดี ข้อดีอีกอย่างของไอศครีมทั้งสองรสก็คือ มันไม่หวานจนเกินไป สรุปว่า วันนี้ได้ไอศครีมคุ้มค่ากับราคา เป็นไอศครีมที่โดดเด่นในเรื่องเนื้อไอศครีม และความเข้มข้นของครีม มีติแค่เรื่องความเด่นชัดของรส Dime Bar Crunch อนาคตข้างหน้าถ้าจะให้แวะเวียนมาร้านอีกก็คงยากที่จะบอกปฏิเสธ


 ร้าน G&D's สาขา George and Danver ตรงถนน  St. Aldates

ตู้โชว์ไอศครีม ตรงกลางสีม่วงๆ เป็นรส Oxford Blue

สัญลักษณ์ของร้าน G&D's เป็นวัวสีน้ำเงิน เพราะเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย

ลูกบนเป็น Super Chocolate ลูกล่างเป็น Dime Bar Crunch
ได้ปริมาณเยอะพอควรสำหรับราคา £3.05

Chocolate Fudge Cake (Waitrose)

ก่อนจะโยกย้ายไปลิ้มลองผลิตภัณฑ์จากที่อื่น วันนี้ขอต่อกันที่ผลิตภัณฑ์จาก Waitrose อีกหนึ่งชิ้น

หลังจากลองพวกขนมเบาๆ มาสองอย่าง ปิดท้ายวันนี้ต้องมาลองของหนักกัน คือ Chocolate Fudge Cake ซึ่งถูกเอามาประเดิมกันในงานวันเกิดเพื่อนคนนึงในกลุ่มเมื่อวานนี้ Chocolate Fudge Cake เป็นเค้กที่หาได้ทั่วไปตามเกาะอังกฤษ ถือเป็นเค้กพื้นฐานที่ทุกซุปเปอร์มาร์เกต และเบเกอรี่ต้องมีขาย แต่ความพื้นฐานนี่แหละจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงระดับฝีไม้ฝีมือของคนทำ เพราะการทำของที่หาได้ง่ายๆ ทั่วไปให้แตกต่าง และดีกว่าย่อมเป็นเรื่องลำบาก เหมือนกับแข่งกันทำไข่เจียวให้อร่อยกว่ากันประมาณนั้น

Chocolate Fudge Cake แน่นอนว่า ต้องเริ่มต้นจากการทำ Fudge ซึ่งเป็นขนมหวานตระกูลหนึ่งที่มีน้ำตาล เนย และนมเป็นส่วนผสมพื้นฐาน เวลาทำจะต้องเคี่ยวส่วนผสมทั้งสามเข้าด้วยกันจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จริงๆ นอกจากส่วนผสมทั้งสามนี้ เรายังสามารถเอาส่วนผสมอย่างอื่นมาเพิ่มเติมเข้าไปด้วยได้ ถ้าสิ่งที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปมีรสชาติโดดเด่นออกมามาก เราก็จะเอาชื่อส่วนผสมนั้นมาไว้ต่อหน้าคำว่า Fudge เช่น ถ้าผสมชอคโกแลตเข้าไปมาก มันก็จะกลายเป็น Chocolate Fudge หรือถ้าผสมวานิลาเข้าไปมาก มันก็จะกลายเป็น Vanilla Fudge ฯลฯ สำหรับวันนี้จะเป็น Chocolate Fudge ซึ่งถือเป็น Fudge ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประเภทหนึ่งในโลก ลักษณะโดยทั่วไปของ Fudge ถ้ากินที่อุณหภูมิห้องมันจะออกเป็นเนื้อนุ่มๆ ชื้นๆ เหนียวๆ หน่อย ทำให้เวลาเอามาผสมเป็นเนื้อเค้กจะช่วยให้เค้กไม่แห้งฝืดคอ แต่จะออกชุ่มๆ กินสบายจนหยุดไม่ได้

สำหรับ Chocolate Fudge Cake จาก Waitrose นี้ต้องถือเป็นตัวตีตื้นเลย หลังจากที่ผิดหวังกันมาจาก Fingerellas เมื่อวันก่อน ส่วนผสมที่ใช้เข้มข้นมาก ออกรสชอคโกแลต และเนยอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้หวานถึงขนาดเลี่ยนจนกินไม่ลง ซึ่งมักเป็นจุดอ่อนของ Chocolate Fudge หลายที่ สำหรับเนื้อเค้กก็นุ่ม และชื้นกำลังดี เนื้อละเอียด ไม่เป็นก้อน หรือผุยๆ เวลาตัดกิน ปริมาณชอคโกแลตที่เคลือบผิวหน้าเค้กก็ให้อย่างเอื้อเฟื้อ สรุปโดยรวมได้เลยว่า เป็นเค้กที่อร่อยจริงๆ และคุ้มค่า เพราะราคาอยู่แค่ £3.99 เท่านั้น

มีข้อสังเกตว่า พวก Fudge Cake เวลากินจะกินได้สองแบบ คือ กินที่อุณหภูมิห้อง กับกินที่อุณหภูมิตู้เย็น แบบแรกมันจะนุ่มกว่ามาก ทำให้ได้สัมผัสลิ้มรสเนื้อ Fudge เต็มที่ ส่วนแบบหลังจะแข็งหน่อย ถ้าเย็นมากก็จะเหมือนกินเค้กผสมชอคโกแลตแท่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่สไตล์คนกินว่า ชอบแบบไหน เพราะอย่างชอคโกแลตแท่งก็มีทั้งคนที่ชอบกินแบบแข็งๆ ให้ได้กัดกรุบๆ กับคนที่ชอบกินแบบละลายๆ หน่อย


ยังคงได้เห็นคำขวัญว่า 'Seriously' กันอยู่เหมือนเดิม
เพราะเป็นเค้กที่ Waitrose เค้าผลิตเอง ไม่ได้รับจากข้างนอกมาขาย 

ดูจากข้้างนอกน่าจะพอบอกได้ว่า เนื้อในของเค้กน่าจะชุ่มพอสมควร

ไม่ผิดหวังเลยสำหรับเค้กตัวนี้ กินกับไอศครีมด้วยยิ่งไม่ผิดหวังเข้าไปใหญ่

Saturday, 11 September 2010

Chocolate Fingerellas (Spécialité Locale)

หลังจากเขียนเรื่อง Tiffin ไปแล้วมาเช้าวันนี้ขอต่อด้วยขนมอีกอย่างที่เมื่อวานได้ติดมือกลับมาจาก Waitrose นั่นคือ Chocolate Fingerellas แต่ขนมตัวนี้เป็นขนมที่ Waitrose ไม่ได้ผลิตเอง แต่เขาจะไปเอาจากข้างนอกมาขาย เราก็เลยเลือกซื้อ เพื่อมาดูมาตรฐานการคัดเลือกสินค้าข้างนอกมาลงแผงว่า มันดีมากน้อยแค่ไหน

Fingerellas ที่ได้เป็นยี่ห้อ Spécialité Locale มีสัญลักษณ์เป็นตราไก่ นำเข้ามาจากฝรั่งเศส ซึ่งก็เป็นประเทศมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการทำขนมแนวๆ นี้อยู่แล้ว Fingerellas จะเป็นขนมที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ แบบนิ้วมือ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อมันนั่นแหละ สำหรับสี และเนื้อขนมภายนอกดูๆ ไปจะคล้ายๆ กับขนมไข่บ้านเรา แต่จริงๆ มันไม่ใ่ช่ขนมไข่ เพราะส่วนผสมจะใช้เนย กับไข่ไก่ค่อนข้างเข้มข้น โดยปกติ Fingerellas จะมีอยู่สองแบบใหญ่ๆ คือ แบบธรรมดาที่เน้นแต่เนยไข่ไม่ผสมอะไรเพิ่มเติม กับแบบชอคโกแลตซึ่งเป็นแบบที่ซื้อมาจาก Waitrose แต่นอกจากนี้ก็ยังมีบางเบเกอรี่ที่ทำ Fingerellas แบบผสมองุ่นแห้ง ลูกเกด หรือพวกแยมลงไปด้วย จริงๆ ที่เมืองไทยก็มีขนมในลักษณะนี้ขายอยู่ทั่วไปตามเบเกอรี่ อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อ หรือมีรูปทรงเหมือน Fingerellas แต่ส่วนผสม และวิธีการทำก็ไม่ต่างกันเลย ถ้าจะให้ดีต้องกินไปพร้อมกับชากาแฟจะสมบูรณ์แบบที่สู้ดดดดดเลย

สำหรับ Fingerellas จาก Waitrose นี้ต้องบอกตรงๆ ว่า แอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะคุณภาพไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวัง คือ ในเรื่องวัตถุดิบพูดได้ว่า ใช้วัตถุดิบดี และให้เนยเต็มที่ เข้มข้น แต่ที่เป็นปัญหาคือ แม้ว่าเนื้อในมันจะนุ่่มดี แต่ก็ออกแห้งๆ ไปหน่อยทำให้กินแล้วฝืดคอ ไม่อร่อยมาก ทั้งที่ประเด็นสำคัญของการทำขนมตระกูลนี้ คือ การทำให้เนื้อในมันชุ่มๆ ชื้นๆ หน่อย เวลากินจะได้มันๆ เนย และลื่นคอ อันที่จริง Fingerellas ที่ได้มาครั้งนี้ก็ไม่ได้ถึงกับแห้งแบบขนมไข่บ้านเรา ยังออกมันๆ ลื่นๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยลองมาแล้วก็ต้องบอกว่า แห้งกว่าพอสมควร สำหรับราคานั้นอยู่ที่ £1.59 ซึ่งถือว่า ปกติ ไม่ได้ถูก หรือแพงเป็นพิเศษ เลยทำให้สรุปว่า Fingerellas ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ปกติๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นถึงกับต้องไปซื้อมากินอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ยี้ถึงกับต้องปฏิเสธเวลามีคนมาเสนอ


Chocolate Fingerellas ยี่ห้อ Spécialité Locale

ได้มาปริมาณเยอะเหมือนกันสำหรับราคา £1.59 น่าจะประมาณ 20 ชิ้น

เป็นลายเนยกับลายชอคโกแลต น่าเสียดายที่เนื้อในแห้งไปหน่อย

Belgian Chocolate Tiffin (Waitrose)

เมื่อวานได้มีโอกาสไปเดินซุปเปอร์มาร์เกตที่ชื่อ Waitrose เป็นครั้งแรก อันที่จริงก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของห้างนี้มานานพอสมควรแล้ว เพราะ Waitrose มีแผนการตลาดที่ฉีกตัวเองออกไปจากซุปเปอร์มาร์เกตอื่นๆ คือ มันจะเจาะแต่ตลาดระดับบน เอาแต่ของคุณภาพดีๆ มาขาย โดยไม่เน้นเรื่องการหั่นราคาเอาใจลูกค้าที่ต้องการประหยัดเงิน ดังนั้น Waitrose จึงกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของคนมีฐานะในประเทศอังกฤษไปโดยปริยาย แม้แต่ซุปเปอร์มาร์เกตของ Marks & Spencer ก็ยังถือกันว่า เป็นรอง Waitrose คนทั่วไปที่นี่เลยถือเป็นเกณฑ์ประเมินคร่าวๆ ว่า ถ้าย่านไหน หรือเมืองไหนมี Waitrose มาเปิดก็จะพอพูดกันได้ว่า ย่านนั้นเมืองนั้นมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง

สำหรับ Cambridge นั้นยังไม่มี Waitrose มาเปิดแถวใจกลางเมืองจนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ก่อนหน้านี้ Waitrose ที่ใกล้ที่สุดจะอยู่นอกตัวเมือง ซึ่งไกลออกไปมาก ต้องปั่นจักรยานประมาณครึ่งชั่วโมงจึงจะถึง มาตอนนี้ Waitrose มาเปิดใกล้ๆ ก็ต้องถือโอกาสไปแวะเวียนสักหน่อย เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า สินค้าที่นี่มันดีจริงตามที่คนเค้าร่ำลือกันรึเปล่า

ปั่นจักรยานออกจากบ้านตอนเที่ยงๆ แค่ประมาณสิบกว่านาทีก็ถึง Waitrose มันตั้งอยู่แถว Grafton Centre วับแรกที่เห็นรู้สึกว่า ขนาดมันเล็กมาก พื้นที่แค่ประมาณร้าน Starbucks ร้านนึง และก็มีชั้นเดียวด้วย แต่ก็ยังสามารถแต่งร้านให้ดูโปร่งตา และรู้สึกสบายๆ เวลาเดินได้

ลำหรับขนมที่ได้ติดมือกลับมาจาก Waitrose ก็คือ Tiffin ซึ่งเป็นขนมยุโรปตระกูลเค้ก ลักษณะของมันจะเป็นชิ้นเล็กๆ คล้ายคุ้กกี้ หยิบกินได้สะดวกสบาย โดยทั่วไปแล้วส่วนผสมของ Tiffin หลักๆ จะเป็น ชอคโกแลต บิสกิต และก็พวกองุ่นแห้ง (sultanas) ลูกเกด หรือเชอร์รี่ อันที่จริง Tiffin นี่ทำกันได้ง่ายมาก และที่แปลกคือ มันไม่ต้องอบ แค่เอาส่วนผสมมาผสมแล้วก็ส่งตรงเข้าตู้เย็นไปเลย จบ

สำหรับ Tiffin จาก Waitrose เป็นแบบชอคโกแลตดำจากเบลเยี่ยม จะเข้มข้นหน่อย และก็ใช้องุ่นแห้ง กับเชอร์รี่เชื่อม รสชาติถือว่า ใช้ได้เลยทีเดียว คุณภาพของชอคโกแลตดีมาก ไส้องุ่น กับเชอร์รี่เชื่อมให้มาเต็มที่ และเนื้อ Tiffin ก็ละเอียดดี อาจจะหวานไปหน่อย ทำให้เวลากินมากๆ อาจรู้สึกเลี่ยนได้ แต่โดยรวมถือว่า อร่อยใช้ได้ ส่วนราคาตก £2.19 ซึ่งถ้าเทียบกับซุปเปอร์มาร์เกตอื่นๆ ก็ชัดเจนว่า แพงกว่าเห็นๆ ทั้งนี้สรุปว่า คุณภาพ รสชาติ และราคาเป็นไปตามคำร่ำลือจริงๆ คือ คุณภาพดี รสชาติอร่อย และราคาสูง


บรรจุภัณฑ์ทำได้เด่นดูเตะตาน่ากินมาก

Waitrose จะใช้ 'Seriously' เป็นคำขวัญสำหรับสินค้าหลายชิ้น
เพื่อสื่อถึงความเข้มข้นของรสชาติ และความอัดแน่นของวัตถุดิบ 

ให้มาทั้งหมด 6 ชิ้น ขนาดแต่ละชิ้นประมาณสองคำกินหมด

สีขาวๆจะเป็นเนื้อบิสกิตอัดไปกันชอคโกแลตดำ องุ่นแห้ง และเชอร์รี่เชื่อม
เห็นเข้มข้นอย่างนี้ชิ้นนึงเลยปาเข้าไป 204 kcal