Saturday, 1 January 2011

Azabusabo Tokyo (Hong Kong)

สำหรับตอนนี้ก็ยังคงอยู่กันที่ย่านจิมซาจุ่ยของฮ่องกงเหมือนเดิม หลังจากที่ได้กินขนมหวานไปแล้วถึง 3 อย่างที่ร้าน The Sweet Dynasty เราก็มาต่อกันที่ร้าน Azabusabo Tokyo ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีอยู่หลายสาขาในฮ่องกง อันที่จริงเห็นมีคำว่า Tokyo ต่อท้ายชื่อร้าน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นร้านที่กำเนิดในฮ่องกงนี่แหละ โดยสาขาที่มาลองวันนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของ HK Pacific Centre Shop ขนาดร้านไม่ใหญ่มาก ตอนเดินเข้าร้านบรรยากาศออกจะเงียบๆ หน่อย มีอยู่แค่ 2 โต๊ะ แต่พอเห็นว่า มีโต๊ะนึงเป็นโต๊ะของคนญี่ปุ่นกว่าสิบคนก็เริ่มแอบใจชื้นว่า อาหารน่าจะอร่อย

ปัญหามันมีอยู่ว่า ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลย เพราะตอนเดินออกจากร้าน The Sweet Dynasty กับเวลาเดินเข้าร้าน Azabusabo มันห่างกันไม่ถึง 2 ชั่วโมง เลยสั่งมาแค่ 3 อย่าง เป็นจานเล็กๆ ทั้งนั้นเลย

จานแรก คือ Sesame Tuna ราคา 35.80 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 140 บาท) เป็นปลาทูน่าที่ทำเนื้อแบบให้ข้างนอกสุกนิด ข้างในดิบหน่อย ส่วนผิวด้านนอกมีงาขาวเคลือบ คุณภาพของอาหารจานนี้จะวัดกันที่ความสดของปลา และการรักษาความสุก-ดิบให้ตัดกันอย่างสมดุล ซึ่งก็ถือว่า อาหารจานนี้ผ่านเกณฑ์ทั้งสองข้อได้อย่างดี เนื้อปลาสดมากสมราคา ส่วนการทำก็ลงตัว คือ เนื้อด้านในยังรักษาความดิบไว้ได้แบบพอดี ความแห้งจากความสุกด้านนอกจึงถูกถ่วงดุลโดยความชุ่มชื้นจากความดิบด้านในอย่างลงตัว

จานที่สองก็กลับสู่ของหวานอีกครั้ง คือ Japanese Rice Cake with Red Bean Paste ราคา 43.80 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 170 บาท) จะประกอบด้วยแป้งโมจิสีขาวเหนียว กับถั่วแดง โรยหน้าด้วยผงน้ำตาลแดง โดยจะเสิร์ฟมาแบบอุ่นๆ รสชาติอร่อยดี ไม่หวานไป คือ ตัวแป้งจะจืด แทยไม่มีรสเลย เน้นแต่ความเหนียวให้เคี้ยวเล่น เวลากินกับถั่วแดงที่หวานค่อนข้างมากจึงออกมาตรงกลาง ไม่หวานไป ไม่จืดไป อย่างไรก็ดี มีให้ตินิดหน่อย คือ ปริมาณถั่วแดง กับปริมาณแป้งยังไม่ค่อยสมดุลกัน เค้าจะให้ถั่วแดงมาน้อยกว่าแป้ง เวลากินเลยมักจะมีแป้งเหลือ

จานสุดท้ายก็ยังคงอยู่ที่ของหวาน เป็น Warabi Mochi a la mode ราคา 35.80 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 140 บาท) จานนี้จะเสิร์ฟเย็น และประกอบไปด้วยของ 4 อย่าง คือ ไอศครีมชาเขียว แป้งโมจิซึ่งเหมือนกับในจานก่อนหน้า ผลไม้สองชิ้น และโมจิขนิด Warabi ซึ่งจะออกเป็นเยลลี่นุ่มๆ เด้งๆ มากกว่าแป้งเหนียวๆ ตอนแรกลองกินทีละอย่าง ที่เด่นคือ ตัว Warabi Mochi ที่มันมีความเข้มข้นครีมมี่ดีมาก ส่วนที่เหลือก็ยังอร่อยอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ส่วนเวลากินรวมกันจะอร่อยไปอีกแบบ

สรุปว่า ร้านนี้ใช้ได้ กินได้แบบไม่มีอะไรให้ติมากมาย ราคาก็โอเคตามมาตรฐานฮ่องกง ส่วนบริการก็ดีมาก (อันที่จริงอาจจะน่าประทับใจกว่าตัวอาหารเสียอีก) พนักงานจะเป็นกันเองสูง ยิ้มแย้มตลอด ผิดจากหลายร้านในฮ่องกงที่บริการแบบส้นตีนมาก.

^
โลโก้ร้าน Azabusabo Tokyo
^
Sesame Tuna สังเกตสีจะเห็นการตัดกันของความสุก-ดิบ 
^
Japanese Rice Cake with Red Bean Paste 
^
Warabi Mochi a la mode ดูสวยงามดี แต่รสชาติอร่อยแบบไม่มีอะไรโดดเด่น 

Friday, 10 December 2010

The Sweet Dynasty (Hong Kong)

หลังจากที่เว้นว่างหายตัวไปนานหลายเดือนก็ได้มีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารอีกครั้ง แต่การกลับมาเขียนเรื่องอาหารครั้งนี้ก็ยังวนเวียนหนีไม่พ้นเรื่องของหวานอยู่ดี ไม่รู้ทำไมจริงๆ

เมื่อประมาณเดือนตุลาคมได้เดินทางไปเที่ยวโซนฮ่องกง-เมาเก๊า ก็เลยได้ไปลิ้มลองอาหารหลายอย่างที่นั่น โดยที่แรกที่แวะเวียนไปก็ คือ ร้านชื่อ “The Sweet Dynasty” ซึ่งตั้งอยู่ในย่านมงก๊ก อยู่ตรงข้าม Harbour City ขนาดร้านค่อนข้างใหญ่โตกว้างขวาง ตบแต่งแนวจีนโมเดิร์น มีทั้งหมดสองชั้น พอดีแวะมาเวลาแปลกๆ คือ เกือบๆ สี่โมงเย็น เค้าเลยให้ไปนั่งชั้นสอง เพราะชั้นล่างปิดอยู่

เห็นชื่อร้านแบบนี้ ที่จริงเขาขายทั้งอาหาร และของหวาน โดยอาหารที่ขายจะเป็นอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ซึ่งก็รวมถึงพวกติ่มซำด้วย แต่วันนี้เราจะมาลองแต่ของหวานกัน เพราะมีคนที่เมืองไทยแนะนำมาว่า ร้านนี้จะมีของหวานขึ้นชื่ออยู่สามสี่อย่างที่ควรจะต้องลองให้ได้ ก็เลยทำตามคำแนะนำ สั่งมาทั้งหมด 3 อย่างเป็นของหวานหมดเลย คือ Baked Fried Durian Pastry (แป้งอบไส้ทุเรียนทอด) Almond Soup and Lotus Seed (ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว) และ Chilled Tofu Pudding (พุดดิ้งเต้าหู้เย็น) ตัวที่เป็นทุเรียนนี้สั่งมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า มันจะเป็นยังไง ไม่ได้อยู่ในรายการที่เค้าแนะนำมาแต่อย่างใด บริกรคงงงว่า ตานี่มากินที กินแต่ของหวานถึง 3 อย่าง

เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาทีของก็เริ่มถูกเสิร์ฟ อย่างแรกที่มาถึง คือ พุดดิ้งเต้าหู้เย้น ซึ่งเมื่อพอได้ชิมก็เข้าใจทันทีว่า มันก็คือ เต้าหวยเย็นนั่นเอง แต่เต้าหวยถ้วยนี้ต้องขอบอกว่า ไม่ใช่เต้าหวยธรรมดา เพราะมันให้รสเต้าหู้ที่เข้มข้นมากๆ ถือว่า เต้าหู้ที่ใช้ทำคุณภาพดีจริงๆ เนื้อมันจะนุ่มมาก และละเอียด ไม่เหมือนเต้าหู้หลอดตามโรงงาน สมแล้วที่มีคนแนะนำมาให้ลอง และที่เด่นอีกอย่างคือ มันหวานน้อยมากๆ เน้นแต่รสชาติเต้าหู้เป็นสำคัญ ดังนั้นถ้าคนติดหวานมากินอาจจะบอกว่า จืดๆ ไม่อร่อยก็เป็นได้

จานที่สองที่มาถึงโต๊ะ คือ ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว ซึ่งก็ให้ความประทับใจแบบเต้าหวยเย็นที่เพิ่งหมดไป คือ มันจะให้รสอัลมอนต์ที่เข้มข้นมาก แต่หวานน้อยมาก ตัวซุปจะมาแบบอุ่นๆ เป็นอัลมอนต์ ส่วนเม็ดบัวนั้นเค้าบดผสมมากับซุปให้ได้เคี้ยวเล่นขณะกินซุป เม็ดบัวในจานนี้จึงเป็นเพียงส่วนประกอบเสียมากกว่า ตัวซุปอัลมอนต์ที่เค้าทำนั้นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าน้ำอัลมอนต์ที่เคยกินมา ทั้งที่น้ำซุปก็ไม่ได้มีความข้นอะไรเลย แต่กลับให้รสอัลมอนต์โดดเด่นชัดเจนมาก เหมือนกำลังกินถั่วอัลมอนต์เลย

จานสุดท้าย คือ แป้งอบไส้ทุเรียนทอด ถือว่า เป็นจานที่ผิดหวัง หรืออาจเป็นเพราะ เราคาดหวังคนละแบบกับความตั้งใจของพ่อครัวก็เป็นได้ คือ จานนี้จะเป็นทุเรียนที่เขาเอาแป้งพัฟฟ์มาห่อแล้วเอาไปอบ นอกจากนี้ยังมีวิปครีมข้างใน และไอซิ่งข้างนอกด้วย แต่ตัวแป้งพัฟฟ์ที่ห้อจะบางมาก และแทบไม่มีรสชาติอะไรเลย ส่วนวิปครีมก็เป็นแบบรสอ่อนๆ เวลากินทั้งหมดเลยให้ความรู้สึกเหมือนกินทุเรียนเพียวๆ มากกว่า เลยไม่เห็นความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างการกินทุเรียนเปล่าๆ กับการกินแป้งอบไส้ทุเรียนจานนี้

ค่าอาหารถือว่า ไม่ถูกไม่แพงในมาตรฐานฮ่องกง ตัวพุดดิ้งเต้าหู้เย็นราคา 18 ดอลลาร์ฮ่องกง (70 บาท) ตัวซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัวราคา 22 ดอลลาร์ฮ่องกง (85 บาท) ตัวแป้งอบไส้ทุเรียนทอดจะแพงที่สุด ทั้งที่ผิดหวังที่สุด คือ ราคา 37 ดอลลาร์ฮ่องกง (143 บาท) ที่แพงกว่าเพื่อนก็คงเพราะตัวทุเรียนนั่นแหละ

สรุปว่า ร้านนี้น่าประทับใจสำหรับพุดดิ้งเต้าหู้เย็น กับซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัว ถ้ามีใครจะมาฮ่องกงก็จะขอแนะนำให้แวะเวียนมาลองดู ถ้าไม่ใช่คนชอบกินอะไรหวานมากน่าจะถูกใจ ส่วนแป้งอบไส้ทุเรียนทอดอยากแนะนำว่า ให้หลีกเลี่ยงไปกินทุเรียนเปล่าๆ บ้านเราจะดีกว่า.

^
ร้าน The Sweet Dynasty ริมถนน Canton ในย่านมงก๊ก
^
 จานนี้ก็คือ พุดดิ้งเต้าหู้เย็น หรือเต้าฮวยเย็นนั่นเอง
^
ซุปอัลมอนต์ และเม็ดบัวที่แสนเข้มข้น 
^
แป้งอบไส้ทุเรียนทอดที่ไม่ขอบรรยายสรรพคุณ

Friday, 15 October 2010

Le Moulin

เมื่อประมาณไม่เกินสามสี่เดือนที่ผ่านมามีร้านเบเกอรี่มาเปิดใหม่ในห้าง Grand Arcade ของเมืองเคมบริดจ์ ชื่อร้าน Le Moulin ซึ่งก็แปลว่า กังหันลมนั่นเอง ถ้าดูจากชื่อบางคนก็คงเดาได้เลยว่า มันเป็นร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศส หลังจากที่วันก่อนได้ลองเดินโฉบหน้าร้านแล้วเห็นว่า ราคาไม่แพงอย่างที่คิด มาวันนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่จะเดินเข้าไปซื้อของจากร้านนี้เสียที

คนขายเป็นหนุ่มชาวอังกฤษที่จะออกไฮเปอร์นิดๆ แบบชอบทำอะไรรีบๆ ลนๆ ทั้งๆ ที่ลูกค้าก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรเลย แต่ละวันร้าน Le Moulin จะมีของให้เลือกประมาณเกือบๆ ยี่สิบชนิด มักเป็นพวกขนมปังก้อน ทาร์ต และขนมอบ ส่วนพวกเค้ก กับคุ้กกี้เค้าจะไม่มีขาย สำหรับวันนี้มีซื้อมาลองก็มี Chocolate and Pear Fruit Tart, Danish Pastry, และ Pain aux Raisins

ขนมอย่างแรกเป็นทาร์ตที่ใส่ชอคโกแลตมาเข้มข้นพอควร ชอบในส่วนของเนื้อทาร์ตที่มันยังชื้นอยู่นิดๆ เวลากินไม่แห้งจนฝืดคอ ตัวเนื้อลูกแพร์ที่ให้มาด้านบนเป็นเนื้อลูกแพร์เชื่อม ชิ้นใหญ่ดี เคี้ยวแล้วหวานชุ่มน้ำผลไม้ของมัน ส่วนตัว Danish Pastry กับ Pain aux Raisins ก็อร่อยดี โดยเฉพาะตัว Danish Pastry ที่ถือว่า อร่อยที่สุดในบรรดาขนมทั้งหมดที่ซื้อมาในวันนี้ ลูกพีชที่ใส่ใน Danish Pastry ให้เยอะดี กินแล้วรู้สึกว่า เป็น Danish Pasty และตัวพีชก็ยังชุ่มฉ่ำ เวลากินรวมกับตัวแป้งที่ห่อทำให้รู้สึกสุขใจอย่างมาก ขนมอบทั้งสองลงตัวดี ทั้งในเรื่องเนื้อแป้ง รสชาติ ความหวาน ความมันเนย และความกรอบของผิวนอก อย่างไรก็ดี ตัว Pain aux Raisins ควรจะมีลูกเกดให้มากกว่านี้อีกนิด (ผิดกับ Chelsea Bun ของ Flitzbillies)

สรุปว่า การมาลองร้าน Le Moulin ครั้งนี้เป็นสิ่งไม่เสียดายเลย อร่อยใช้ได้ ราคาก็นับว่า ไม่แพง แม้ร้านนี้แค่พยายามเป็น และยังไม่ใช่ร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศสของแท้ แต่ก็นับว่า พอทำเนาไปได้ คนที่ชอบขนมฝรั่งเศสน่าสามารถจะแวะเวียนมากินแก้ขัดไปก่อนได้สบายๆ


Chocolate and Pear Fruit Tart ราคาชิ้นละ 2 ปอนด์  

Danish Pastry ชิ้นนี้ถูกใจไม่น้อย ราคา 1.30 ปอนด์ ไม่แพงเลย  

Pain aux Raisins ชิ้นละ 1.30 ปอนด์เท่ากัน ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ควรให้ลูกเกดเยอะกว่านี้หน่อย 

Fitzbillies

ในเมืองเคมบริดจ์มีร้านเบเกอรี่อยู่เจ้าหนึ่งที่คนเค้ามักคุยกันว่า เป็นร้านเบเกอรี่ประจำเมืองที่นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทุกคนควรหาโอกาสแวะเวียนมาลิ้มลองกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ร้านดังกล่าวชื่อ Fitzbillies ตั้งอยู่ตรงหัวมุมระหว่างถนน Trumpington กับถนน Pembroke ร้าน Fitzbillies นี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ปัจจุบันตัวร้านจะแยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหาร อีกส่วนหนึ่งเป็นร้านเบเกอรี่ แต่ในวันนี้เราจะมาดูเฉพาะในส่วนของร้านเบเกอรี่กัน

ในแต่ละวันร้าน Fitzbillies จะมีขนมเป็นสิบๆ แบบให้ได้เลือกกันตาลาย ตั้งแต่เค้กแต่งงาน ไปจนถึงคุ้กกี้ชิ้นเล็กๆ น่ารักๆ แต่ในบรรดาขนมของเขาทั้งหมด ขนมที่ชื่อ Chelsea Bun จะมีเป็นขนมที่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายที่สุด ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความพยายามของทางร้านในการโฆษณาขนมตัวนี้ ถึงขนาดตั้งชื่อให้มันอย่างเป็นทางการว่า ‘Fitzbillies’ Famous Chelsea Bun’ นอกจากนี้อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นเพราะมีคนนิยมกินขนมชนิดนี้อยู่จำนวนไม่น้อย เพราะทางร้านเองก็มีชุดแพคเกจรายปี คือ ผู้ที่สนใจสามารถจ่ายเงินจำนวน 95 ปอนด์ แล้วทางร้านจะส่ง Chelsea Bun ให้คุณทางไปรษณีย์เดือนละ 4 ชิ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่า Chelsea Bun จะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างมากมาย แต่รสชาติที่แท้จริงของมันก็ยังห่างชั้นจากคำยกย่องสรรเสริญเหล่านั้นอยู่หลายสิบเท่า กล่าวสั้นๆ คือ ชื่อเสียงไม่สมกับรสชาติที่เป็นจริง จนมันน่าฉงนไม่น้อยที่ทำไมยังมีคนนิยมกิน Chelsea Bun อยู่พอสมควร เพราะเอาจริงมันก็เป็นเพียง Cinnamon Roll ที่หวานเจี๊ยบแบบถล่มทลาย จนคนทั่วไปกินเพียงคำสองคำก็เลี่ยนจนกินต่อไม่ไหวแล้ว แถมเสี่ยงกับเบาหวานอีกต่างหาก นอกจากนี้เนื้อแป้ง และวัตถุดิบก็ถือว่า ธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด ถ้าจะหาข้อดีก็น่าจะอยู่ตรงที่เค้าให้ลูกเกดอย่างอัดแน่นไม่น้อย ซึ่งก็คงถูกใจเป็นพิเศษเฉพาะกับคนที่รักลูกเกด

นอกเหนือจาก Chelsea Bun แล้วขนมชนิดอื่นๆ ของร้านก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจ บางอย่างก็มีรสชาติไม่ต่างจากขนมถูกๆ ที่หาซื้อได้ตามห้างเทสโก้ ล่าสุดลองให้โอกาสร้าน Fitzbillies ด้วยการไปซื้อเค้กถึง 3 แบบมาลอง แต่ปรากฎว่า นอกจาก Walnut Cake แล้วไม่มีอะไรได้เรื่องเลย ส่วนใหญ่จะออกหวานแบบเกินเหตุ ซึ่ง Walnut Cake เอง แม้จะดีกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ได้อร่อยเลิศอะไร แถมเค้าใส่เนยเยอะไป จนเค้กมันเกิน ดังนั้นจึงขอสรุปเลยว่า ร้าน Fitzbillies เป็นร้านเบเกอรี่ที่แสนธรรมดา และการถือว่า ร้านนี้เป็นร้านเบเกอรี่ประจำเคมบริดจ์ก็ดูจะเป็นการดูถูกเมือง และชาวเคมบริดจ์อยู่ไม่น้อย


หน้าร้าน Fitzbillies ข้างขวาที่เป็นตึกสีขาวจะเป็นส่วนร้านอาหาร 

Chelsea Bun ที่น่าผิดหวัง 

ชื่อเต็มเรียก 'Fitzbillies' Famous Chelsea Bun' ราคาชิ้นละ 1.50 ปอนด์ 

ซื้อมาลองทั้งหมด 3 ชิ้น ผิดหวังอย่างแรง แต่ละชิ้นตกประมาณ 2 ปอนด์ 

Walnut Cake สิ่งเดียวที่ยังพอจะกินได้บ้าง 

Wednesday, 22 September 2010

Deliciously Nutty Crunch (Marks & Spencer)

สำหรัับคนที่นี่แล้ว ซีเรียลถือเป็นอะไรที่มีความสำคัญกับชีวิตมาก เดินไปเปิดตู้อาหารกว่าสิบตู้ของเพื่อนร่วมบ้านจะพบว่า ทุกตู้ต้องมีซีเรียลอย่างน้อยหนึ่งกล่อง จริงๆ แล้ว คำว่า 'ซีเรียล' นั้นเป็นคำที่ครอบคลุมอาหารหลากหลายรูปแบบมาก มีตั้งแต่แบบ Corn Flakes แบบ Granola แบบ Porridges ไปจนถึงแบบ Muesli ดังนั้นคำว่า 'ซีเรียล' จึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ Corn Flakes ตามที่บ้านเรามักนิยมเข้าใจกัน

คนส่วนใหญ่ที่นี่มักเริ่มต้นชีวิตแต่ละเช้าด้วยการเอาซีเรียลเข้าปาก ความสำคัญของซีเรียลส่งผลให้เซคชั่นซีเรียลตามห้างที่นี่เป็นเซคชั่นที่ใหญ่มโหฬาร ผลิตภัณฑ์ซีเรียลมีให้เลือกกินหลากหลายรูปแบบมาก ประมาณว่า ถ้าให้กินสัปดาห์ละแบบ น่าจะต้องใช้เวลามากกว่าสองปีถึงจะลองหมด เพราะแค่ห้าง Tesco ที่เดียวก็มีซีเรียลให้เลือกกว่า 80 แบบแล้ว (ยังไม่นับรวมพวกที่เป็น Cereal Bars) มีตั้งแต่แบบที่หลอกขายเด็กอย่าง Coco Pops แบบขายคนที่ห่วงใยสุขภาพอย่าง Kelloggs Special ไปจนถึงแบบขายคนไฮโซอย่าง Muesli จากสวิสเซอร์แลนด์ บางยี่ห้อก็ทำออกมาแบบรสชาติเหมือนกัน แต่ใช้วัตถุดิบต่างกัน เช่น เป็น Corn Flakes เหมือนกัน แต่แบบนึงใช้ธัญพืชปกติ ส่วนอีกแบบใช้ธัญพืช Whole Wheat

ช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสลองซีเรียลมาหลายยี่ห้อเหมือนกัน จนกระทั่งมาเจอซีเรียลแบบนึงที่ทำให้เลิกไปขวนขวายหาซีเรียลแบบอื่นมาทาน นั่นคือ Deliciously Nutty Crunch ของ Marks & Spencer ซึ่งกล้าพูดเลยว่า โดยส่วนตัวแล้วยกให้เป็นซีเรียลที่อร่อยที่สุุดเท่าที่ได้เคยกินมาในชีวิต

ซีเรียลตัวนี้ผลิต และจำหน่ายโดย Marks & Spencer แต่เพียงเจ้าเดียว มันเป็นพวกก้อนโอ๊ต ผสมกับถั่วสามแบบคือ อัลมอนต์ ถั่วบราซิล และพีแคน จริงๆ Marks & Spencer ก็ทำซีเรียลแนวนี้ออกมาหลายแบบ เช่น แบบ Triple Chocolate Crunch ที่เอาก้อนโอ๊ตไปผสมกับชอคโกแลตขาว ชอคโกแลตนม และชอคโกแลตดำ หรือแบบ Strawberry & Almond Crunch ที่เอาก้อนโอ๊ตไปผสมกับสตอเบอร์รี่ และอัลมอนต์ แต่หลังจากได้ลองมาทั้งหมด สรุปว่า แบบ Deliciously Nutty Crunch อร่อยที่สุด เพราะมันกรอบมัน รสชาติดีมาก ไม่หวานไป ทุกอย่างลงตัว อย่างไรก็ดี ถ้าใครชอบหวานมากๆ แนะนำให้ลองแบบ Triple Chocolate Crunch ส่วนใครชอบเปรี้ยวนิดๆ และผสมหวานก็น่าจะเอาแบบ Strawberry & Almond Crunch มากิน

Deliciously Nutty Crunch ตัวนี้จะออกเป็นรสทอฟฟี่ แต่ไม่หวานเกินพอดี โดยเฉพาะเวลาผสมนม แนะนำว่า ถ้าจะกินให้อร่อยควรเอานมมาใส่แล้วทิ้งไว้สักนาทีหน่อยๆ ดื่มนมให้หมดก่อนแล้วค่อยกินตัวซีเรียล มันจะอร่อยมาก เพราะตัวซีเรียลจะอมนมนิดนึง กินแล้วลื่นคอ มันนม และที่สำคัญคือ มันจะยังกรอบอยู่ พอเขียนถึงตรงนี้ก็อยากไปหยิบจากตู้อาหารมากิน แม้ว่าตอนนี้จะเกือบ 5 ทุ่มแล้วก็ตาม


Deliciously Nutty Crunch กล่องนึงมี 500 กรัม ราคา £2.19

 ที่ดูคล้ายๆ ก้อนกรวดสีขาวก็คือ ก้อนโอ๊ค ผสมกันไปกับถั่วสามชนิด

 เทนมใส่รอไว้นาทีกว่า ก่อนกินตามสูตรที่เขียนไว้ สุดอร่อยจริงๆ

Tuesday, 21 September 2010

White Lotus Seed Paste Cake (Fung Kee Chong)

ตั้งแต่อยู่อังกฤษมายังไม่เคยลองขนมไหว้พระจันทร์ที่วางขายที่นี่เลย ส่วนนึงเพราะมัวแต่ไปลองอาหารตะวันตก ซึ่งหาซื้อได้สะดวก และค่อนข้างถูกกว่า นอกจากนี้ที่สำคัญคือ มันจะรู้สึกแปลกๆ เวลาต้องมาชิมขนมไหว้พระจันทร์ที่นี่ เพราะมันเหมือนไปชิมพายแอปเปิ้ลที่เมืองไทยประมาณนั้น กล่าวอีกแบบคือ ขนมไหว้พระจันทร์มันไม่ใช่อะไรที่น่าจะต้องลองเวลาอยู่อังกฤษ

แต่พอดีมีเพื่อนคนจีนเอาขนมไหว้พระจันทร์มาฝาก เนื่องในโอกาสที่เรากำลังจะกลับเมืองไทยในอีกไม่กี่วัน เค้าบอกว่า อุตส่าห์เดินตั้งครึ่งชั่วโมงไปซื้อที่ตลาดเอเชีย พร้อมยืนยันว่า ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อ Fung Kee Chong นี้ค่อนข้างตรงตามสูตรดั้งเดิม และมีรสชาติใกล้เคียงกับขนมไหว้พระจันทร์ที่เมืองจีน

หลังได้ขนมไหว้พระจันทร์มาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถห้ามใจได้ ต้องแกะกินเลย ไส้ที่ได้เป็นไส้เม็ดบัว ซึ่งภาษาอังกฤษก็คือ 'White Lotus Seed' ส่วนคำว่า ขนมไหว้พระจันทร์นั้น นอกจากจะใช้คำว่า 'Moon Cake' ยังสามารถใช้คำว่า 'Paste Cake' ได้ด้วย รูปลักษณ์ภายนอกของขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้ดูมันวาวดี ตัดผ่านครึ่งมาดู สีอะไรก็เหมือนขนมไหว้พระจันทร์ที่เมืองไทยบ้านเราทุกอย่าง สำหรับรสชาติตอนกินก็อร่อยดี และไม่มีอะไรพิเศษ หรือโดดเด่นไปจากขนมไหว้พระจันทร์ทั่วไปที่เมืองไทย สรุปคือ ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อ Fung Kee Chong ก็อร่อยดี กินเล่นได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีคำติชมอะไรเป็นพิเศษ

ที่น่าสนใจที่สุดคือ ขนมไหว้พระจันทร์ยี่ห้อนี้ผลิตในประเทศเนเธอร์แลนด์!


 กล่องขนมไหว้พระจันทร์เป็นแบบง่าย
ข้างกล่องมีคำอธิบายสี่ภาษา อังกฤษ จีน ดัตช์ และเยอรมัน

 ผิวด้านนอกมันวาวดี ดูสวยตอนตั้งโชว์

ไส้ลูกบัวอัดแน่น พร้อมไข่เค็มหนึ่งลูก

Monday, 20 September 2010

Vanilla Belgium Waffle Sandwich (Marks & Spencer)

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Marks & Spencer ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาวางแผง คือ Belgium Waffle Sandwich เป็น Waffle แบบกรอบ 2 แผ่นมาประกบแล้วสอดไส้ตรงกลาง โดยจะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือแบบไส้ครีมวนิลา กับแบบไส้ชอคโกแลต แต่ที่เอามาลองกันวันนี้คือ แบบไส้ครีมวนิลา

อันที่จริงชื่อ Belgium Waffle ถ้าจะใช้โดยยึดเอาความหมายดั้งเดิมอย่างรัดกุม มันจะหมายถึง Waffle แบบที่เป็นแป้งหนาๆ นุ่มๆ มีเกร็ดน้ำตาลเกาะผิวรอบนอก เวลากินควรจะกินตอนที่มันยังอุ่นๆ อยู่ โดนเอาน้ำเชื่อมมาราด ดังนั้นชื่อ Belgium Waffle จึงไม่ได้หมายถึง Waffle แบบที่เป็นแผ่นแป้งบางๆ กรอบๆ อย่างไรก็ดี คนทั่วไปก็ไม่ได้เคร่งครัดกับเรื่องชื่อมากนัก จนคำว่า Belgium Waffle มักถูกเอามาใช้เหมารวมเรียก Waffle แบบกรอบด้วย

สำหรับ Vanilla Belgium Waffle Sandwich จะมีลักษณะคล้าย Stroopwafel ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากเนเธอร์แลนด์ มากกว่า Belgium Waffle เพราะมันเป็น Waffle แบบบางๆ กรอบๆ แต่มันก็ไม่ใช่ Stroopwafel ซะทีเดียว เพราะมันสอดไส้ครีมวนิลา ซึ่งถ้าเป็น Stroopwafel ของแท้ไส้ตรงกลางต้องเป็นน้ำเชื่อมคาราเมลเท่านั้น อย่างไรก็ดี หลักใหญ่ที่เราควรจะให้ความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้องของการใช้ชื่อ แต่อยู่ที่รสชาติต่างหาก ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะมาเข้าเรื่องกันเสียที

หลังได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วต้องบอกเลยว่า นับตั้งแต่ได้กิน Waffle แบบกรอบมาจำนวนมากมายในชีวิต Vanilla Belgium Waffle Sandwich ตัวนี้ถือเป็น Waffle แบบกรอบที่อร่อยที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจาก Stroopwafel ยี่ห้อ Gouda's Gilde ที่เคยมีเพื่อนซื้อมาฝากจากเนเธอร์แลนด์ แม้ว่ามันจะน่าเสียดายอย่างยื่งที่เค้าใส่ไส้ครีมวนิลามาแบบขี้เหนียวไปหน่อย แต่ตัว Waffle นั้นอร่อยมากๆ มันออกรสเนยเข้มข้น กลิ่นก็หอมเนย ตัวเนื้อก็กรอบ และอัดแน่นดี ส่วนตัวครีมวนิลาก็อร่อยจริงๆ แต่มีปัญหาอย่างที่บอกคือ ใส่มาให้น้อยไปหน่อย

พอพลิกกล่องดูพบว่า Vanilla Belgium Waffle Sandwich ตัวนี้ผลิต และนำเข้าจากเบลเยี่ยม เลยไม่สงสัยเลยว่า ทำไมมันถึงอร่อยได้ขนาดนี้ กล่องนึงราคา £1.49 มีทั้งหมด 6 ชิ้น เมื่อเทียบกับรสชาติแล้วคุ้มค่ามาก ทำให้ตอนนี้อยากไปเอาแบบไส้ชอคโกแลตมาลองด้วยมากมาย


 Vanilla Belgium Waffle Sandwich สุดอร่อยจาก Marks & Spencer

ตัว Waffle สีเหลืองสวยมาก กลิ่นก็หอมเนยอย่างยิ่ง แบบนี้ใครจะห้ามใจได้